ทรัมป์ขู่จีนซ้ำ เตรียมตั้งกำแพงภาษีนำเข้า มูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เขาจะเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจากจีน โดยเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 25% ซึ่งรวมแล้วจะมูลค่ากว่า 2 แสนล้านเหรียญ เป็นหนึ่งมาตรการครั้งสำคัญในการตอบโต้สำหรับสงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจ
บทสัมภาษณ์นี้มาจากนิตยสาร Wall Street Journal หลังจากการพบปะกันระหว่างโดนัลด์ทรัมป์ และ ประธานาธิบดีจีน สีจิ้นผิง ในการประชุมที่อาร์เจนตินา ซึ่งทางทรัมป์ได้กล่าวว่า “เป็นความไม่แน่นอนอย่างยิ่ง” ซึ่งเขาให้การยอมรับว่า ขึ้นอยู่กับผลการเจรจากับทางจีนเองด้วย ซึ่งจะเปิดการเจรจารอบใหม่กันอีกในเดือนมกราคมต้นปีหน้า
“การเจรจากับจีนยังคงเปิดกว้าง” ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ “ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับจีนด้วย”
ทรัมป์ได้พบปะกับสีจิ้นผิง ในการประชุมสุดยอด G-20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า ถ้าการเจรจาระหว่างสองฝ่ายไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็จะผลักดันให้เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนตามที่ตั้งเป้าไว้
ถ้าพวกเราเจรจากันไม่สำเร็จ ผมก็จะผลักดันให้เพิ่มภาษีนำเข้ากว่า 2.67 แสนล้านเหรียญ จากแต่เดิมที่ 10% ให้ขึ้นมาเป็น 25%
รัฐบาลจีนยังได้ให้ข้อมูลกับนักข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ผู้นำของทั้งสองชาติมหาอำนาจกำลังมองหาลู่ทางที่จะเปิดฉากเจรจากันให้ได้อีกในเร็วๆนี้
“ประเด็นหลักคือเรื่องที่ว่าจะทำอย่างไรให้สงครามการค้าผ่อนคลายลง” เจ้าหน้าที่จีนกล่าว “ทางจีนเองก็ยังคงมองในแง่ดีว่า การเจรจารอบใหม่จะสามารถลุล่วงได้”
นอกจากนี้ทางด้านโฆษกรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของจีนอย่างนาย Geng Shuang ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า มีความหวังและมองในแง่บวกว่าการเจรจาระหว่างสองผู้นำมหาอำนาจจะลุล่วงได้ด้วยดี หลังจากทั้งสองคนได้ทำการประชุมผ่านโฟนคอลกันมาก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ดาบสองคมกับทั้งสองฝ่าย
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐที่กรุงวอชิงตันได้เสนอให้เพิ่มการพิจารณาอย่างละเอียดถึงการส่งออกด้านเทคโนโลยีใน 14 ด้านหลัก ซึ่งรวมถึงปัญญาประดิษฐ์ A.I. และเทคโนโลยีไมโครโปรเซสเซอร์ ไปยังประเทศจีน
เกี่ยวกับประเด็นนี้ นาย Xu Nanping รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนได้กล่าวว่า “ถ้าสหรัฐอเมริกาไม่ซื้อสินค้าจากจีน และสหรัฐไม่ส่งออกด้านเทคโนโลยี แล้วบริษัทในสหรัฐจะมีผลกำไรจากไหนได้”
“จีนสามารถนำเข้าเทคโนโลยี ไม่ว่าจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือกระทั่งพัฒนาขึ้นได้ด้วยตนเอง ถ้าเช่นนั้นแล้วสหรัฐจะทำอย่างไร” นาย Xu บอกกับผู้สื่อข่าวในกรุงปักกิ่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
“การจำกัดควบคุมด้านส่งออกเทคโนโลยีนั้นเป็นเสมือนดาบสองคม ในระยะยาวแล้ว นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ต่างได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย หรือ Win-Win Business แล้วมีแต่จะแพ้ทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ซึ่งสำหรับในห่วงโซ่การผลิต จีนถือว่าอยู่ในระดับล่างและกลาง ขณะที่ในสหรัฐถือว่าอยู่ในระดับกลางและบนสุด ดังนั้นถ้าห่วงโซ่เกิดปัญหา สหรัฐเองนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายได้รับผลกระทบไปด้วย” นาย Xu กล่าวย้ำ
กำแพงภาษีกลุ่มเทคโนโลยี
ทรัมป์กล่าววว่า ขั้นถัดไปของการตั้งกำแพงภาษี คือกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ทางบริษัท Apple นำเข้าจากจีน ส่วนนี้มีมูลค่ารวมแล้วกว่า 2.67 แสนล้านเหรียญ
อุปกรณ์สำหรับมือถือและคอมพิวเตอร์ ถือว่าเป็นสินค้าส่งออกของจีนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคชาวอเมริกันไปด้วย ทางสื่อได้รายงานว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเองก็มีความกังวลเกี่ยวกับท่าทีของผู้บริโภคเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เองก็กล่าวถึงส่วนนี้ว่า อาจจะยังคงภาษีในส่วนนี้ที่ 10% เท่าเดิมก็เป็นได้ และขอให้ประชาชนไม่ต้องวิตก
แน่นอนว่าทางฝั่งบริษัท Apple ไม่มีท่าทียินดีกับเรื่องนี้หลังจากสื่อรายงานบทสัมภาษณ์ออกมา ถึงกระนั้นทาง Apple ก็ยังไม่ได้มีการตอบสนองอะไรกับผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์
สำหรับ ทิมคุ๊ก CEO ของบริษัท Apple ก็ได้ออกมากล่าวถึงความกังวลพวกเขาที่มีสงครามการค้าครั้งนี้ และแย้งทรัมป์ว่า การตั้งกำแพงภาษีนำเข้า ไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Apple ต้องพึ่งฐานการผลิตในต่างประเทศ สำหรับการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม Apple เองก็ได้วางแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของสหรัฐ เมื่อวางแผนที่จะทุ่มเงินลงทุนกว่า 5.5 หมื่นล้านเหรียญสำหรับฐานการผลิตในสหรัฐเอง
Spurce: Reuters