สงครามการค้าจีน-สหรัฐ ส่งผลกระทบกับบริษัทจีนแล้ว
- ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมจีนเพิ่มขึ้น 4.1% ในเดือนกันยายนมูลค่าราว 5.45 แสนล้านหยวน (78.6 พันล้านเหรีญ)
- ผลของสงครามการค้าส่งผลต่อธุรกิจจีน เริ่มที่ผลกำไรบริษัทจีน ขณะที่ทางการจีนเริ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาเริ่มส่งผลกระทบต่อบริษัทจีนแล้ว ล่าสุดผลประกอบการในเดือนกันยายนที่ผ่านมาของบริษัทอุตสารหกรรมในจีนปรากฎว่ามีอัตราการชะลอตัวของผลกำไรในรอบ 5 เดือน
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ( National Statistics Bureau) ได้ออกมาเปิดเผยผลประกอบการบริษัทจีนโดยอัตรากำไรเพิ่มขึ้น 4.1% ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 5.45 แสนล้านหยวน (78.6 พันล้านเหรีญ) ซึ่งต่ำกว่าของเดือนสิงหาคมที่อัตรากำไรอยู่ที่ 9.2%
ผลกำไรในช่วง 9 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 14.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนโดยมูลค่าแตะ 4.97 ล้านล้านหยวน โดยรายได้ของบริษัทผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและปิโตรเคมีเมื่อเทียบกับ 8 เดือนแรกของปีกำไรเริ่มเติบโตชะลอตัวลง 1.5%
Moody’s Analytics ได้กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนซึ่งขยายตัวในไตรมาสที่ 3 มีอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดในรอบทศวรรษและมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้าเนื่องจากประเด็นสงครามการค้าจีน-สหรัฐ
ทั้งนี้การขึ้นภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าสหรัฐฯจากจีนจะยังไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจจริงของจีน แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในภาคการผลิต แต่ก็อยากจะหลีกเลี่ยงผลที่จะกระทบไปยังจุดเล็กจุดน้อยในห่วงโซ่ของการผลิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมองไปที่ปลายทางแล้วผลกระทบย่อมตามมาอย่างแน่นอน
รัฐบาลจีนก็ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจึงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยให้ธนาคารและสถาบันการเงินผ่อนผันกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อให้เขาเหล่านี้มีเวลาหายใจและธุรกิจอยู๋รอดได้ท่ามกลางสงครามการค้าและภาวะถดถอยของราคาหุ้นในเวลานี้
ทางด้านธนาคารกลางจีนได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบราว 1 หมื่นล้านหยวนเพื่อสนับสนุนให้เอกชนออกพันธบัตรพร้อมไปกับกระทรวงการคลังได้ประกาศลดภาษีรายได้เพื่อช่วยในการกระตุ้นการบริโภค
ขณะที่ทางด้านหน่วยงานกำกับสถาบันการเงินและประกันภัยได้เข้ามาเตือนให้หลีกเลี่ยงในการนำเอาหุ้นของบริษัทเข้าไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพยุงตลาดหุ้น
โดยเงินให้กู้ยืมในระบบเศรษฐกิจจีนอยู่ที่ราว 4.5 ล้านล้านหยวน (6.48 แสนล้านเหรียญ) ในจำนวนนี้มีการใช้หุ้นบริษัทเพื่อเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอกู้เงินกับสถาบันการเงิน
Source: SCMP