12-03-2020

พัง! เซอร์กิตเบรคเกอร์ตลาดหุ้นไทยครั้งแรกรอบเกือบ 12 ปี ปิดตลาดรูดลงไป 134.98 จุด

บทความโดย

วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของตลาดหุ้นไทย เมื่อเวลา 14.41 น. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำการหยุดการซื้อขายชั่วคราวตลาดหุ้นไทย หรือ Circuit Breaker  ครั้งที่ 1 เป็นเวลา 30 นาทีภายหลังที่ดัชนีร่วงลงไป 10% โดยปัจจัยที่กดดันมาจากไวรัสโควิด19 แพร่ระบาด

โดยวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดมาในแดนลบมาตลอด โดยดัชนีปรับลดลงไป  125.05 จุด หรืออยู่ที่ 10.00% ลงมาอยู่ที่ 1,124.84 จุด ทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องหยุดการซื้อขายชั่วคราว หรือ Circuit Breaker โดยนับเป็นครั้งที่ 4  ในประวัติศาสตร์ไทย ห่างจากครั้งล่าสุดในสมัยรัฐบาลนายสมชายซึ่งเผชิญวิกฤติซับไพรม์ในเวลานั้นเมื่อกว่า 11 ปี 4 เดือน (วันที่ 27 ตุลาคม 2551)

 

ตั้งแต่การเปิดดำเนินการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีประวัติการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ เพียง3 ครั้งเท่านั้น

ครั้งที่ 1 ด้วยปัญหาค่าเงินบาทในเวลานั้นทำให้ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการกันสำรอง 30% เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาททำให้เกิดความตื่นตะหนกของนักลงทุนต่างประเทศ จนเกิดการเทขายหุ้นไทยกดดัชนีตลาดหุ้นไทยลงไป 10.14% หรือ 74.06จุด  ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยในวันนั้นถูกกดลงไปสุงถึง 19.52% หรือลงไป 142.63 จุดนับเป็นการกดตลาดหุ้นไทยที่สูงที่สุดในประวัติศาตร์

ครั้งที่ 2 เวลานั้นเป็นช่วงเริ่มวิกฤติการเงินเริ่มขึ้นแล้วและกำลังสร้างโดมิโน่เอฟเฟกต์ไปยังเศรษฐกิจจริง ทำให้เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ต้องมีการใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ 30 นาที ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 449.91 จุด ลดลง 50.08 จุด ลดลง 10.02%

ครั้งที่ 3 เป็นช่วงวิกฤติซับไพรม์ที่รุนแรงมากขึ้น เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลงไป 10% อยู่ที่ระดับ 389.58 จุด หรือลดลง 43.29 จุด ขณะที่เมื่อปิดตลาดอยู่ที่ 387.43 จุด ลดลง 45.44 จุด หรือลดลง 10.50 %

ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 4 ที่มีการหยุดซื้อขายหลักทรัพย์เป็นไปตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง
การซื้อขาย การชำระราคาและการส่งมอบหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2555 ซึ่งหลักจากการหยุดซื้อขาย 30 นาทีก็สามารถกลับมาซื้อขายได้ตามปรกติ

วันนี้ตลาดหุ้นไทยปิดตลาดที่ 1,114.91 จุด เปลี่ยนแปลง -134.98 จุด  เปลี่ยนแปลง -10.80% ระหว่างวันลดลงไปถึง 152 จุดหรือ 12%