09-05-2018

ราคาน้ำมันพุ่งหลังทรัมพ์ประกาศถอนตัวข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน

บทความโดย
  • ทรัมพ์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านที่ทำไว้สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบาม่าที่ทำให้อิหร่านยุติโครงการนิวเคลียร์ และจะใช้มาตรการแซงชั่นกับอิหร่านในระดับสูงสุด
  • ราคาน้ำมันตอบสนองต่อการออกจากข้อตกลงของทรัมพ์โดยราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 2% ราคาน้ำมันดิบเบรนท์มาแตะที่ 76.75 เหรียญสหรัฐในรอบ 3 ปี

หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ประกาศออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านเมื่อวันอังคารที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมาโดยเป็นข้อตกลงที่อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า ได้ทำไว้เมื่อ 14 ก.ค.2015 ภายใต้ข้อตกลงที่ชื่อว่า Joint Comprehensive Plan of Action หรือ JCPOA โดยทางอิหร่านได้ทำกับ 5 ชาติสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ รัสเซีย จีน และฝรั่งเศส และสหภาพยุโรป

กราฟจาก Bloomberg

ผลของการฉีกข้อตกลงของประธานาธิบดีทรัมพ์ กระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดเบรนท์ขยับขึ้นทันทีเกือบแตะ 77 เหรียญต่อบาร์เรล โดยราคาขึ้นไปถึง 76.85 เหรียญซึ่งเป็นราคาสูงสุดตั้งแต่ พฤศจิกายน 2014 ที่ราคาอยู่ที่ 76.66 เหรียญต่อบาร์เรล

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ขึ้นมาที่ 70.61 เหรียญต่อบาร์เรลขึ้นมา 2.2% ใกล้ระดับสูงสุดเมื่อปลายปี 2014

หลังจากที่ข้อตกลงนิวเคลียร์ อิหร่านได้กลับมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอีกครั้งโดยมีการส่งออกอยุ่ที่ 2.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ยอดส่งออกเมื่อเดือนเมษายน) ทำให้กลายเป็นผู้ส่งออกลำดับ 3 รองจากซาอุดิอาระเบียและอิรัก

อีกด้านหนึ่งผลกระทบที่ออกมายังธุรกิจจริงคือ มีความเป็นไปได้ว่าข้อตกลงการซื้อเครื่องบินโดยสารจากโบอิ้งของอิหร่านกว่า 100 ลำ มูลค่าถึง 2 หมื่นล้านเหรียญอาจกลายเป็นหมัน นั่นหมายถึงผลจากมาตรการนี้กำลังสร้างความเสียหายต่อธุรกิจโบอิ้งปีนี้ทันที ถ้าดีลนี้คว่ำจากการยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์ของประธานาธิบดีทรัมพ์

Frontline News มองว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่ออิหร่านส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมันที่อาจไปลดปริมาณน้ำมันลง และแน่นอนว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และถ้ามีมาตรการแซงชั่นต่ออิหร่านย่อมส่งผลกระทบทางลบต่อต้นทุนของธุรกิจขนส่ง ธุรกิจการบิน ธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ทันที

Source: Reuters