Howard Schultz ก้าวลงจากตำแหน่งประธานบอร์ดของ Starbuckแล้ว
- Howard Schultz ประกาศลาออกจากประธานบอร์ดบริหารของสตาร์บัคส์ด้วยวัย 64 ปี โดยหลัจากนี้จะหันไปทำงานสาธารณะมากขึ้น
- มีกระแสข่าวลือว่านาย Schultz จะหันมาเล่นการเมืองโดยต้องการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2563 แข่งกับนายโดนัลด์ ทรัมพ์ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน
หลังจากได้บริหารสตาร์บัคส์ มากว่า 36 ปีและนำพาความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้บริษัทด้านกาแฟจากซีแอตเทิ้ลกลายเป็นบริษัทกาแฟระดับโลกซึ่งมีมูลค่าแบรนด์กว่า 8 หมื่นล้านเหรียญ โดยคาดกันว่า Howard Schultz อาจจะตัดสินใจเข้าสู่การเมืองโดยเฉพาะการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในช่วงปี 2020
การเปลี่ยนแปลงหลังยุค Schultz
การเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้นั่นคือการแต่งตั้งนาย Kevin Johnson มารับตำแหน่ง CEO เมื่อปีก่อนเพื่อเป็นการเตรียมการมอบไม้ต่อในการบริหาร กว่า 4 ทศวรรษที่เขาเป็นผู้นำของสตาร์บัคส์ Schultzได้ขยายกิจการสตาร์บัคส์จาก 11 สาขากลายเป็น 28,000 สาขาใน 77 ประเทศทั่วโลก
การมอบให้ Kevin Johnson มากุมบังเหียนสตาร์บัคส์เต็มตัวได้ผ่านการพิสูจน์การแก้ไขปัญหาและพิสูจน์ตัวเองได้ระดับหนึ่งแล้วจากเหตุการณ์พนักงานสตาร์บัคส์แสดงออกถึงการเหยียดสีผิวและเชื้อชาติต่อลูกค้าของตนเองจนต้องมีการสั่งปิดร้านชั่วคราวทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อทำการปรับทัศนคติพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัท โดยเขาสามารถมีปฏิกิริยาต่อปัญหาใหญ่ในเวลานั้นในเชิงรุกได้อย่างทันเหตุการณ์และระงับไม่ให้บานปลายได้อย่างทันท่วงที และสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์สตาร์บัคส์ได้อย่างน่าทึ่ง
แต่ความท้าทายของการรักษาการเติบโตในสหรัฐและการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศที่สำคัญคือ จีน ที่ต้องการความรอบคอบและการอุดรอยโหว่ของบางจุดรวมทั้งการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเสริมการบริการเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆในร้านสตาร์บัคส์มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการสั่งกาแฟผ่านมือถือและรวมถึงเรื่องระบบชำระเงินผ่านมือถือ
มุ่งหน้าสู่การเมืองและชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ?
ทั้งนี้ Schultz ได้ให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์คไทม์ก่อนหน้านี้ว่ากำลังดูความเป็นไปได้มากมายรวมถึงการเรื่องการช่วยเหลือต่อสาธารณะซึ่งนั่นรวมถึงข่าวลือว่าเขาจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แน่นอนว่าคู่แข่งคือนายโดนัลด์ ทรัมพ์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2563
ก่อนหน้านี้นาย Schultz เคยออกมาพูดในประเด็นสาธารณะตั้งแต่เรื่องนโยบายสุขภาพ เรื่องการศึกษาไปจนถึงเรื่องการเหยียดผิว และมีความพยายามโน้มน้าวเพื่อนนักธุรกิจไม่ให้บริจาคเงินแก่พรรคการเมืองเพื่อประท้วงสภาคองเกรสอีกด้วย
นอกจากนี้เขายังได้วิพากษ์นายโดนัลด์ ทรัมพ์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกหลายต่อหลายครั้งรวมทั้งการเขียนบทความในประเด็นสาธารณะอีกหลายครั้งด้วยกัน
ข้อมูลจาก Bloomberg แสดงให้เห็นว่าเมื่อปี 1991 สตาร์บัคส์มีรายได้ 57.6 ล้านเหรียญ ขณะที่สิ้นปี 2017 มีรายได้ที่ 2.24 หมื่นล้านเหรียญ เขาจะอยู่ที่สตาร์บัคส์จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ในแถลงการณ์หลังจากนี้เขาจะได้รับตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ โดยตำแหน่งประธานบอร์ดจะมีนาย Myron Ullman ซึ่งเป็นกรรมการในบอร์ดของสตาร์บัคส์อยู่แล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นประธานบอร์ด
คงต้องรอดูกันว่าสตาร์บัคส์หลังยุคของ Schultz จะเป็นอย่างไรต่อไป และเขาจะหันไปเล่นการเมืองตามข่าวลือจริงมากน้อยแค่ไหนคงต้องรอติดตามกันดูกันต่อไป