15-05-2018

Didi  เตรียมทดสอบรถไร้คนขับในแคลิฟอร์เนีย

บทความโดย
  • Didi ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านรถยนต์ไร้คนขับของแคลิฟอร์เนียให้สามารถทอสอบรถยนต์ไร้คนขับได้ โดยนับเป็นรายที่ 53 ที่เข้ามาขออนุญาต
  • Didi ได้ร่วมกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมรถยนต์ได้แก่ กลุ่มRenault Nissan Mitsubishi ตลอดจนทีมโตโยต้าและโฟล์คสวาเกนในประเทศจีน
  • การแข่งขันในธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับดุเดือดมาก ผู้ผลิตรถยนต์ทั้งรายเก่าและสตาร์ตอัพลงทุนในธุรกิจนี้เป็นเงินหลายพันล้านเหรียญโดยเฉพาะในซิลิคอนวัลเลย์

บริษัท Didi ผู้นำด้านการให้บริการเรียกรถโดยสาร (Ride Hailing) ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานกำกับดูแลด้านยานยนต์ประจำรัฐ (Department of Motor Vehicles regulations: DMV) ซึ่งมอบใบอนุญาตทดสอบรถยนต์ไร้คนขับในรัฐแคลิฟอร์เนียแล้ว นับเป็นรายที่ 53 ที่ได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานดังกล่าว

Didi ได้มาตั้งออฟฟิศในซิลิคอน วัลเลย์เมื่อปีที่แล้วโดยมุ่งเน้นวิจัยเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ Ai และเรื่องความปลอดภัย หน่วยวิจัยของDidi แห่งนี้ตั้งอยู่ใน Mountain View ซึ่งใกล้กับสำนักงานใหญ่ของ Google มีพนักงานอยู่ประมาณ 100 คน

การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับนี้ยังได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ในต่างประเทศที่สำคัญๆอาทิ กลุ่มRenault Nissan Mitsubishi ตลอดจนทีมโตโยต้าและโฟล์คสวาเกนในประเทศจีน โดยหัวหน้าหน่วยวิจัยของDidi ที่ซิลิคอน วัลเลย์คือ Gong Fengmin เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยด้านไซเบอร์ โดยทำงานร่วมกับ Zhaoyin Jia อดีตวิศวกรรถยนต์โครงการรถยนต์ไร้คนขับ Waymo ของทาง Alphabet บริษัทแม่ของ Google

อย่างไรก็ตามผู้ผลิตรถยนต์ทั้งรายเก่าและรายใหม่อย่างบริษัทสตาร์ตอัพหลายแห่ง ได้ลงทุนเงินหลายพันล้านเหรียญเพื่อพัฒนารถแท็กซี่แบบไร้คนขับและรถไร้คนขับเพื่อส่งสินค้าซึ่งเป็นสมรภูมิที่ทุกรายลงสนามนี้พร้อมกัน จนกลายเป็นสมรภูมิที่แข่งขันกันดุเดือดมาก

คู่แข่งสำคัญเลยคือ Waymo ซึ่งได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วบนท้องถนนด้วยระยะทางกว่า 5 ล้านไมล์ และระบบการเรียนรู้ด้วตนเองบนถนนจำลองกว่า 5 พันล้านไมล์ ซึ่งประเด็นเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่บนท้องถนนยังต้องการเวลาพิสูจน์อีกมาก แต่บริษัทที่ลงทุนเริ่มรอไม่ได้เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทองในการลงสู่สนามจริง

ทั้งนี้สำนักงานกำกับดูแลด้านยานยนต์ ได้ให้ใบอนุญาตความปลอดภัย 5 ประเภทเพื่อนำไปใช้กับรถรุ่น Lincoln MKZ 2017 จำนวน 1 คันเพื่อนำไปทดสอบได้

Source: Financial Times