27-08-2018

ผลเจรจาระหว่างจีน-สหรัฐ ล่มและอาจจะไม่มีการเจรจาในรอบถัดไป

บทความโดย

การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐเมื่อวันพฤหัส 23 ส.ค. ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถกำหนดการเจรจาในรอบถัดไป เห็นได้ชัดว่าการเจรจารอบนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง หลังจากนี้สงครามการค้าจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

Lindsay Walters รองโฆษกของทำเนียบขาว ได้ออกมาแถลงข่าวโดยส่วนหนึ่งได้กล่าวถึงรายงานที่ออกมาเมื่อเดือนีนาคมซึ่งรายงานฉบับดังกล่าวได้กล่าวหาจีนว่ามีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้วยการบังคับบริษัทอเมริกันให้ต้องถ่ายโอนเทคโนโลยีและมีการล้วงข้อมูลจากบริษัทอเมริกันที่เข้าไปตั้งโรงงานในจีน

ขณะที่ทางด้านจีนยืนยันว่าการถ่ายโอนเทคโนโลยีเป็นเรื่องความสมัครใจระหว่างบริษัทและรัฐบาลสหรัฐไม่ควรเป็นกังวลรวมทั้งปฏิเสธในเรื่องรัฐบาลสหรัฐต้องการให้ปลดโครงการที่เริ่มผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับสูงตามนโยบาย “Made in China 2025”

ทางกระทรวงพาณิชย์จีนได้ตอบโต้ว่า “เรามีสิทธิในการพัฒนา”

ทั้งจีนและสหรัฐระบุว่าจะยังคงมีการเจรจาต่อไปแม้ว่าจะยังไม่สามารถกำหนดวันในการเจรจาอีกในครั้งต่อไปได้ ขณะที่ทางทำเนียบขาวได้แสดงความชื่นชมต่อ “คณะผู้แทนการค้าของจีนซึ่งเดินทางมาสหรัฐเพื่อเข้าร่วมประชุมครั้งนี้”

ข้อตกลงจากการเจรจารอบนี้ยังตกลงกันไม่ได้ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ยังเดินหน้าขึ้นภาษีอย่างเข้มข้นต่อไป ต้นเดือนหน้าจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% โดยสินค้าจีนที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ รัฐบาลจีนเองมีการทำรายชื่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกันเพื่อเป็นการตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐ

“เมื่อผมเข้ามา พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แน่นอนว่าเราจะยอมให้จีนใหญ่กว่าพวกเราในช่วงเวลาสั้นๆนี้” คำกล่าวนี้ของทรัมพ์ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับทางรอยเตอร์เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา “สิ่งนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

ประเด็นสำคัญหนึ่งคือการเลือกตั้งกลางเทอมที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน โดย Gallop ได้ทำการสำรวจโพลล์เมื่อเดือนที่แล้วโดย 62% ของผู้ตอบแบบสอบถามพร้อมสนับสนุนพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีทรัมพ์ ซึ่งหลายเสียงเห็นด้วยกับการเก็บภาษีนำเข้าจากจีนว่าจะช่วยเศรษฐกิจสหรัฐได้ในระยะยาว

ทั้งนี้แหล่งข่าวของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้กล่าวกับทาง nikkei ว่า “สงครามการค้าจะส่งผลต่อจีนมากกว่าสหรัฐ แต่ถ้าเป็นมันกลายเป็นสงครามเรื้อรังจะส่งผลกระทบต่อสหรัฐมากกว่า”

จุดแตกต่างระหว่างจีนกับสหรัฐนั่นคือ สหรัฐมีการเลือกตั้งซึ่งนักการเมืองจะต้องคำนึงถึงข้อเรียกร้องของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ทางรัฐบาลจีนใช้สื่อมวลชนเป็นตัวรับการเรียกร้องในกรณีที่สงครามการค้าลามไปจนถึงประชาชนก็จะเป็นช่องทางออกในการระบายความไม่พอใจ

นั่นทำให้ยังไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อความมั่นคงของอำนาจประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทำให้เขาสามารถใช้วิธีที่ก้าวร้าวมากขึ้นได้

แต่เมื่อใดก็ตามสงครามการค้าส่งผลรุนแรงต่อตลาดการเงินแล้วลามไปจนกระทบเศรษฐกิจจริงของทั้งสองประเทศอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือทบทวนของทั้งคู่ก็เป็นได้

ทางด้านรัฐบาลจีนมีความกังวลในเรื่องค่าเงินหยวนซึ่งอ่อนค่ามากเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมาค่าเงินหยวนอ่อนค่าต่ำสุด 6.93 หยวนต่อดอลลาร์ซึ่งเป็นค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าใกล้เคียงกับช่วง ปี 2016 ที่อ่อนค่าลงมาถึง 6.95หยวนต่อดอลลาร์ หลังจากการเจรจาการค้ารอบนี้ที่ผ่านมากลับมาแข็งค่าขึ้น

มีความกังวลว่าปัจจัยเรื่องค่าเงินหยวนของจีนอาจส่งผลให้รัฐบาลจีนงดการซื้อพันธบัตรสหรัฐแต่จะกลับเทขายพันธบัตรออกเพื่อระดมเงินดอลลาร์มาเพื่อพยุงค่าเงินหยวน นั่นจะส่งผลให้เกิดความปั่นป่วนต่อเศรษฐกิจสหรัฐและลามไปยังเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจตามมาด้วยวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่

แน่นอนว่าวอชิงตันไม่อาจละเลยของพัฒนาการนี้ได้ สายพิราบในทีมทรัมพ์รวมถึงรัฐมนตรีคลังสหรัฐอาจเร่งเรื่องข้อตกลง ขณะที่ทางปักกิ่งอาจยื่นข้อเสนอใหญ่เพื่อให้สงครามการค้านี้คลี่คลายลง

การพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมพ์และประธานาธีบดีสีจิ้นผิงมีโอกาสพบอีกครั้งหลังเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียและแปซิฟิกหรือเอเปคที่ปาปัวนิวกีนีและการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ที่อาร์เจนตินา ตัวแทนของทั้งสองประเทศมีแนวโน้มที่จะมีการเจรจาเพิ่มเติมมากขึ้น

Source: Nikkei