เกษตรกรในเอเชียเตรียมใช้บิ๊กดาต้าเพื่อการเก็บเกี่ยวที่ดีขึ้น
อดีตโปรแกรมเมอร์ชาวอินเดียลาออกจากงานที่ GE ด้วยความตั้งใจจะยกระดับวิถีชีวิตเกษตรกรอินเดียเมื่อเขามองว่าภาคเกษตรกรรมมีขนาดใหญ่และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก แต่ปัญหาที่หยั่งรากและการไร้ข้อมูลซึ่งทำให้ยากในการแก้ไข
Krishna Kumar กล่าวว่า “ช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดของปัญหาคือ เรื่องข้อมูล” นั่นทำให้ ในปี 2553 ได้ตั้งบริษัท CropIn Technologies ในเมืองบังกาลอร์เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมผู้ผลิตรายย่อยกับผู้ซื้อ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลผลิตของเกษตรกรในระดับพื้นที่ ข้อมูลการปลูกทั้งหมดทำให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากของเกษตรกรรมในอินเดีย
ในปี 2559 CropIn เข้าถึงข้อมูลเกษตรกรกว่า 2 ล้านเฮกเตอร์และพืชพันธุ์ที่เกษตรกรปลูกทั่วอินเดียกว่า 250 ประเภท พร้อมทั้งใช้ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลว่าในแต่ละพื้นที่จะสามารถให้ผลผลิตได้ดีภายใต้เงื่อนไขต่างๆตั้งแต่ การระบาดของศัตรูพืชไปจนโรคติดต่อและภาวะภัยแล้ง จากข้อมูลดังกล่าวทำให้สร้างแบบจำลองในการพยากรณ์เพื่อระบุปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้นพร้อมทั้งให้ข้อมูลที่แม่นยำซึ่งจะเกี่ยวพันกับผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวในอนาคตได้อีกด้วย
“ตอนนี้ 3 เดือนก่อนการเก็บเกี่ยว(ทั้งผู้ซื้อและเทรดเดอร์) รู้ว่าพื้นที่เพาะปลูกแต่ละแห่งมีพฤติกรรมอย่างไรและสามารถให้สัญญากับลูกค้าได้ … ในเวลาเดียวกันถ้าคุณรู้ว่าผลผลิตจะไม่ออกมาตรงตามที่คาดไว้ เราสามารถส่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องดินไปยังแปลงเพาะปลูกเพื่อช่วยแก้ปัญหาเพื่อให้ผลผลิตต่อไปดีขึ้น” Krishna Kumar กล่าว
CropIn เป็นหนึ่งในบริษัทด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นซึ่งให้ความสนใจและลงทุนในเรื่องความแม่นยำของข้อมูลด้านการเกษตร ผ่านการเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์ตรวจวัดต่างๆ โดรน ตลอดจน Internet of Things (IoT) เพื่อเพิ่มข้อมูลและสามารถติดตามผลผลิตตั้งแต่จากแปลงเพาะปลูกจนถึงโต๊ะทานข้าวของคุณ
การลงทุนในเกษตรแม่นยำของธุรกิจระดับโลก
ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าของเกษตรแม่นยำจะมีมูลค่าสูงถึง 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 ตามข้อมูลของ Global Market Insights ทำให้เริ่มมีผู้เข้าร่วมในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้นตามลำดับ
ในปี 2560 บริษัทผลิตสารเคมีและปุ๋ยรายใหญ่อย่าง DowDuPont ใช้เงินกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐลงทุนใน Granular ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์การเกษตร ขณะที่ผู็ผลิตแทรกเตอร์รายใหญ่อย่าง Deere & Co. ใช้เงินกว่า 305 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับบริษัท Blue Robot Technology บริษัทผู้พัฒนาหุ่นยนต์ในภาคการเกษตร
นอกจากนี้ยักษ์ใหญ่อย่างมอนซานโตจ่ายเงินไปกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐกับข้อมูลสภาพภูมิอากาศที่ชื่อ Climate Corp บริษัทยักษ์ใหญ่อีกรายลงทุนในบริษัทลูกของตนเองโดยเปิดตัวบริษัท Xarvioเมื่อปลายปี 2560 เพื่อพัฒนา Digital Farming แม้แต่ YARA ยักษ์ใหญ่ธุรกิจเกษตรจากนอร์เวย์ได้เปิดตัว Atfarm มุ่งเน้นในเรื่องการให้ปุ๋ยต่อพืชอย่างแม่นยำเมื่อมีนาคม 2561 หรือปีที่แล้วนี้เอง
แรงผลักดันเรื่องข้อมูลในภาคเกษตรส่วนหนึ่งมาจากความต้องการของภาคอุตสาหกรรมอาหารเพื่อทำความเข้าใจที่ดีขึ้นสามารถจัดการห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ฟาร์มจนถึงโต๊ะอาหารของเรา ซึ่งมีเส้นทางที่ยืดยาวและซับซ้อนมากขึ้นและแม่นยำมากขึ้น
ความตื่นตัวในระดับโลกของมาตรฐานอาหารจากผู้บริโภคซึ่งถูกท้าทายโดยข่าวอื้อฉาวมากมายที่ผ่านมาโดยในปี 2556 พบว่าอาหารพร้อมจำหน่ายมีการปนเปื้อนในซุปเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐอเมริกาโดยพบว่าอาหารปรุงสำเร็จถูกผสมด้วยเนื้อม้า นอกจากนี้ยังพบว่าผักกาดหอมที่ขายในสหรัฐและแคนาดามีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย e.coli ทำให้จำเป็นต้องมีการทำลายเป็นจำนวนมาก ปัญหาการระบาดไข้หวัดหมูแอฟริกาทำให้หมูที่ผลิตในประเทศจีนมากกว่าหนึ่งล้านตัวถูกฆ่าตาย ทำให้ผู้บริโภคชาวจีนแสดงความกังวลอย่างมากในเรื่องความปลอดภัยของเนื้อสัตว์ที่รับประทาน
ประเด็นสิ่งแวดล้อมกับธุรกิจการเกษตร
ปัญหาสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมเริ่มส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของหลายบริษัทอาทิ อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากสหภาพยุโรปในเรื่องการแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า จากประเด็นนี้ทำให้เป็นตัวจุดประกายการรณรงค์ของผู้บริโภคในยุโรปนำมาสู่การเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียในเรื่องการปลูกปาล์มน้ำมันที่ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
แต่ปัญหาความรับผิดชอบต่อสังคมและการติดตามในระบบห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนในระดับโลกทำให้เป็นเรื่องยากเมื่อผู้ผลิตขนาดเล็กซึ่งอยู่ห่างไกลขายผลผลิตการเกษตรให้กับพ่อค้าและส่งส่วนผสมเหล่านั้นข้ามทวีปไปยังชั้นวางในซุปเปอร์มาร์เก็ตในตะวันตก
AI และ BigData สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้
“จะต้องมีการสร้างระบบที่เชื่อถือได้และวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความไว้วางใจคือการเชื่อมจุดแต่ละจุดเข้าด้วยกัน แสดงให้เห็นว่าปลูกมันอย่างไร ปลูกที่ไหน และความน่าเชื่อถือจะตามมา” Claire Pribula จาก Yield Lab กล่าว โดย Yield Lab คือศูนย์บ่มเพาะเทคโนโลยีการเกษตรที่เปิดตัวในสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในแขนขาของตะวันตกที่เข้ามาลงทุนในเรื่องข้อมูลตลอดจนเทคโนโลยีเซนเซอร์แบบเรียลไทม์สำหรับติดตามผึ้ง ไปจนถึงระบบตรวจสอบแบบย้อนกลับที่ทำงานบนบล็อกเชน
Pierre Courtemanche ซีอีโอของ Geotraceability ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกรุ่นแรกๆในเรื่องระบบตรวจสอบย้อนกลับในระดับแปลงเพาะปลูก ได้กล่าวถึงเรื่องความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้หลายบริษัทที่เคยแอบซ่อนบางสิ่งไว้ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กำลังเป็นเรื่องจุดเปลี่ยนของการสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
“เมื่อคุณอยู่หน้าชั้นวางสินค้าด้วยการแข่งขันด้านราคาที่ใกล้เคียงกันมาก คุณกำลังคิดว่า คุณจะเลือกผลิตภัณฑ์ไหนดี ? นี่กำลังเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นและน่าติดตามอย่างมาก”
Source: Nikkei