ไวน์ที่ดีสุดจากเทือกเขาหิมาลัยในจีน ผลิตโดยแบรนด์หรู LVMH
- LVMH ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการทำไวน์เข้าไปในหมู่บ้านอันห่างไกลในแชงกรีล่าของเทือกเขาหิมาลัย ในยูนนานเพื่อสร้างไวน์ที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ
- Ao Yun มีความหมายว่า ล่องลอยเหนือเมฆา โดยองุ่นของที่นี่ถูกผลิตจากหมู่บ้านแค่ 4 แห่งเท่านั้นโดยมีความแตกต่างของดิินและอากาศจากระดับความสูงตั้งแต่ 2,200-2,600เมตร พื้นที่ปลูกไวน์ถูกซอยย่อยกว่า 314 แปลง
- LVMH มองเห็นว่าสถานที่ที่ห่างไกลของยูนนานนี้เป็นสถานที่ในอุดมคติในการปลูกไวน์ Cabernet Sauvignonได้อย่างเมือง Bordeaux ของฝรั่งเศสเลยทีเดียว
ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยในมณฑลยูนนาน ประเทศจีนมีหมู่บ้านที่อยู่ไมไกลจากเมือง Shangri-La ที่นี่ใครจะคาดคิดว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้จะกลายเป็นแหล่งปลูกองุ่นและผลิตไวน์ชั้นเลิศที่ถูกสรรค์สร้าง โดยคนทำไวน์ชั้นนำจากกลุ่ม LVMH ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์หรูระดับโลกอย่าง Louis Vuitton, Fendi และกลุ่มสุราอย่าง Hennessy, Moët & Chandon
ที่มา: Youtube
4 ปีที่เสาะหาแหล่งทำไวน์ทั่วเมืองจีน สู่พื้นที่อันห่างไกลของยูนาน
ไม่น่าเชื่อว่ากลุ่มLVMH ใช้เวลากว่า 4 ปีในการหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการผลิตไวน์แดง จนในปี 2013 ก็พบว่าพื้นที่ทางตอนเหนือของมณฑลยูนนานตั้งอยู่ริมฝั่งของแม่น้ำโขงที่ไหลมาจากเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งไม่ไกลจากเมือง Shangri-La ด้วยสภาพภูมิประเทศที่นี่ทำให้องุ่นที่ปลูกมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
ไร่องุ่นของที่นี่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน 4 แห่ง ได้แก่ Adong, Xidang, Sinong และ Shuori ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 2,200 ถึง 2,600 เมตร โดยสายพันธุ์องุ่นที่นำมาปลูกคือ Cabernet Sauvignon และ Cabernet Fran มีลักษณะพิเศษ ซึ่งภูมิอากาศของที่นี่มีความคล้ายคลึงกับที่เมืองBordeaux
การเพาะปลูกองุ่นของพื้นที่แถบนี้ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลกลางมาตั้งแต่ปี 2002 โดยรัฐบาลมีเป้าหมายเป็นผู้ผลิตไวน์ชั้นนำจึงมีการส่งเสริมการปลูกองุ่นในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศจีนเพื่อป้อนผู้ผลิตไวน์ท้องถิ่น
Ao Yun มีความหมายว่า ล่องลอยเหนือเมฆา
LVMHมองว่าสภาพแวดล้อมที่ห่างไกลและทุรกันดารนี้มีลักษณพิเศษคือ อุณหภูมิที่เย็นคล้ายคลึงกับภูมิภาคบอร์โดซ์ (Bordeaux ) ของฝรั่งเศส ปริมาณน้ำฝนปานกลาง และความแตกต่างของอุณหภูมิสูงและต่ำที่สุดขั้วในแต่ละวัน แสงแดดช่วงสั้นๆที่บังคับให้องุ่นเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ จะกระตุ้นให้ผิวองุ่นมีผิวที่หนาขึ้น ทำให้สารแทนนินมีความเข้มข้นส่งผลต่อสีแดงของไวน์
ไวน์ Ao Yun จะมีส่วนผสมขององุ่น 2 สายพันธุ์คือ Cabernet Sauvignon และ Cabernet Fran เบลนด์ในอัตราส่วน 90:10 เพื่อสร้างรสชาติที่ดีที่สุด
ทั้งนี้นาย Maxence Dulou ผู้จัดการจากLVMH ผู้ดูแลไวน์ Ao Yunให้สัมภาษณ์กับทาง Nikkei ว่า “สถานที่แห่งนี้มีศักยภาพอย่างไร้ข้อจำกัด” โดยเข้ามาทำโรงบ่มไวน์ในพื้นที่นี้ตั้งแต่ปี 2013 หลังจากเสาะหาพื้นที่ทำไวน์มาทั่วเมืองจีนกว่า 4 ปี
สูตรพิเศษของการสร้างไวน์โดย LVMH
เขาได้นำเอางานิจัยด้านการปลูกไร่องุ่นและการทำไวน์ที่เป็นวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบอร์โดซ์ ในฝรั่งเศส วิธีการคือ แบ่งพื้นที่ 30 เฮกตาร์ของทั้ง 4 หมู่บ้านออกเป็นแปลงเล็กๆจำนวน 314 แปลงโดยมีขนาดเฉลี่ยแต่ละแปลงคือ 700 ตารางเมตร แปลงเล็กสุดมีขนาดพื้นที่เพียง 10 ตารางเมตรโดยปลูกองุ่นเพียง 5 เถาเท่านั้น
เขายังทำแบ่งพื้นที่ละเอียดลงไปอีกให้เป็น 500 โซนเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของการเติบโตขององุ่นว่าจะเติบโตอย่างไรภายใต้สภาวะที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยของพื้นที่และสภาพอากาศ
“ความหลากหลายที่พิเศษของที่นี่เป็นข้อได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ ทำให้สามารถสร้างรสชาติองุ่นที่ไม่เหมือนใครที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ในที่ใดๆของโลกใบนี้ นอกจากที่นี่” นายDulou กล่าวไว้
พื้นที่ปลูกองุ่นที่นี่เดิมเกษตรกรใช้เลี้ยงปศุสัตว์และปลูกพืชมาหลายชั่วอายุคนโดยไม่ได้ใช้เครื่องจักรการเกษตร ปศุสัตว์ที่นี่กินหญ้าและใบไม้ร่วงและถ่ายเอาของเสียออกมากลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติให้กับพื้นดินแห่งนี้ ซึ่งนายDulou ต้องการให้วัฐจักรการใช้ชีวิตการเกษตรแบบเดิมยังดำเนินต่อไปเพื่อส่งเสริมในการทำไวน์ให้เขา “สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันเมื่อทำงานกับคนในท้องถิ่นคือการเคารพในวัฒนธรรมของพวกเขา” นายDulou กล่าว
โรงผลิตไวน์แห่งนี้เมื่อปีที่แล้วได้จัดส่งไวน์ Ao Yun อันเก่าแก่จำนวน 24,000 ขวดที่ทำจากองุ่นที่เก็บเกี่ยวในปี 2013 โดยเป็นไวน์มที่มีกลิ่นแทนนินเข้มข้นและกลิ่นหอมสดใสที่สามารถจับคู่กับอาหารจีนรสเผ็ดได้เป็นอย่างดี
ด้วยความหายากและคุณภาพสูงได้ดึงดูดความสนใจจากคนชอบดื่มไวน์ทั่วโลกแล้ว เวลานี้ญี่ปุ่นเหล้าองุ่น Ao Yun ปี2013 มีราคาอยู่ที่ 34,000 เยน (317 เหรียญ) หรือถ้าเป็นเงินไทยตกขวดละประมาณ 10,000 บาท
แม้ว่าจีนจะมีปัญหาเรื่องอาหารปนเปื้อน ความไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัยของอาหาร แต่บริษัทแบรนด์หรูอย่าง LVMH ยังสามารถเสาะหาพื้นที่ทำไวน์ชั้นยอดของโลกในเมืองจีนได้ การแย่งชิงพื้นที่สร้างสินค้ามูลค่าสูงกลายเป็นกระแสที่เรายังมองไม่เห็นมากนัก นักลงทุนและธุรกิจรายใหญ่ทำการแข่งขันเรื่องนี้อย่างเข้มข้นแล้วเราจะปรับตัวเข้ากับเรื่องนี้อย่างไร