จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเงินนอกระบบขนาด 52 ล้านล้านเหรียญสหรัฐก่อปัญหาระบบการเงินโลก
- ธนาคารเงา (Shadow Banking) มีสินทรัพย์กว่า 52 ล้านล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นถึง 75% นับตั้งแต่วิกฤติการเงินสิ้นสุดลงโดยสหรัฐเป็นประเทศที่มีธนาคารเงาสูงที่สุดในโลกตามด้วยจีน
การปล่อยสินเชื่อโดยไมไ่ด้ผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ในระยะหลังตั้งแต่วิกฤติการเงินล่าสุดเป็นต้นมาเพิ่มขึ้นอย่างมากเรามักคุ้นเคยกับคำเรียกขานกันว่า ธนาคารเงา หรือ Shadow Banking ซึ่งเป็นแหล่งสินเชื่อนอกภาคธนาคารที่ปล่อยให้กู้ยืมโดยมีมีกฎเกณฑ์กำกับที่หละหลวมและมีความเข้มงวดในการปล่อยที่น้อยกว่าธนาคารพาณิชย์โดยทั่วไป
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่วิกฤติการเงินที่ผ่านมาสินทรัพย์ของธนาคารเงาหรือ Shadow Banking เหล่านี้เติบโตขึ้นมากจนล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 52 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นมากถึง 75% นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ซึ่งบริษัทเรทติ้งรายใหญ่อย่าง DBRS ได้อ้างอิงข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับดูแลเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐหรือ Financial Stability Board.
ภายในธนาคารเงาไม่ได้มีแค่การปล่อยกู้นอกระบบเหมือนพ่อค้าแขกอย่างที่เราเข้าใจเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเฮดจ์ฟันด์กองทุนรวม กองทุนตราสารประเภทต่างๆซึ่งกองทุนเหล่านี้มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างมโหฬารกว่า130% มาอยู่ที่36.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐที่ทำการปล่อยสินเชื่อผ่านเครื่องมือทางการเงินแบบต่างๆทั่วโลก ที่อาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อระบบการเงินเมื่อไหร่ก็ได้ด้วยขนาดของมัน
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงบริษัทประกันภัย กองทุนบำเหน็จบำนาญประเภทต่างๆ ที่สินทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 61% เป็น 185 ล้านล้านเหรียญขณะที่สินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์แบบเดิมเพิ่มขึ้น 35% มาเป็น 148 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ทาง DBRS บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้เตือนถึง “ความเสี่ยงที่สำคัญ” ที่มีการเปลี่ยนแปลงในตลาดสินเชื่อโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาซึ่งธนาคารเงาในสหรัฐฯมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ที่ 15 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือราว29% ของขนาดธนาคารเงาในระบบ ทางด้านจีนที่หลายฝ่ายกังวลเรื่องธนาคารเงาจะเป็นตัวจุดชนวนกลับมีขนาดเล็กกว่าโดยมีสินทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 16% ของขนาดธนาคารเงาทั้งระบบ
โดยทาง DBRS ระบุถึงปัจจัยความเสี่ยง ถึง 3 ข้อด้วยกันที่ธนาคารเงาจะกดดันต่อตลาดโดยข้อแรก ธนาคารเงาเหล่านี้ไม่มีโครงสร้างในการดูแลเวลาเกิดสภาพคล่องต่ำและกรณีการถอนเงินจำนวนมากๆในช่วงเวลาสำคัญ ข้อถัดมาคือการขาดประสบการณ์การจัดการสินเชื่อในช่วงที่ชะลอตัวลงมากๆ และข้อสุดท้ายคือการกระจายผลตอบแทนที่อาจส่งผลกระทบในช่วงเวลาที่ตลาดอยู่ในช่วงขาลง
ตลาดสินเชื่อที่ใช้เงินกู้ยิม หรือ Leverage Loan โตขึ้นเป็นสองเท่ามูลค่าตลาดนี้กว่า 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐนับตั้งแต่เหตุการณ์เลห์แมนบราเธอร์ล้ม ปัจจัยที่ทำให้ตลาดสินเชื่อกลุ่มนี้เติบโตอย่างมากมาจากการผ่อนปรนกฎเกณฑฺ์การปล่อยสินเชื่อลงในสินเชื่อประเภท Covenant-Lite ที่เจ้าหนี้ยอมผ่อนเงื่อนไขทั้งในเรื่องความสามารถในการชำหระหนี้ของลูกหนี้ ทำให้มีโอกาสที่ลูกหนี้จะผิดนัดชำระหนี้ได้ โดยมีเงื่อนไขปล่อยสินเชื่อที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งสินเชื่อกลุ่มนี้โตขึ้นถึง 80เปอร์เซ็นต์
DBRS ออกมากล่าวถึงกองทุนประเภท “collective investment vehicles” ซึ่งเป็นการนำเงินเอาเงินของลูกค้ามากองรวมกันเป็นกลุ่มในลักษณะกองทุนรวมแล้วนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นะนาคารเงาประเภทหนึ่งที่อาจมีความเสี่ยงและต้องได้รับการจับตาในเรื่องความเสี่ยงทางการเงินในช่วงเกิดวิกฤตเพราะกองทุนเหล่านี้มีขนาดเป็น 2 ใน 3 ของธนาคารเงาในระบบทั้งหมด
ในสภาพตลาดดอกเบี้ยต่ำ การหาผลตอบแทนสูงในตลาดเป็นเรื่องสามัญที่ตลาดการเงินล้วนหาช่องทางในการลงทุน ซึ่งธนาคารเงานั้นอาศัยกฎระเบียบที่ผ่อนปรน การไม่อยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์ทำให้ความผ่อนคลายในการปล่อยสินเชื่อมีมากขึ้นจนอาจส่งผลกระทบทั้งเจ้าหนี้ผู้ปล่อยกู้และผู้กู้ในอนาคตและถ้าเกิดวิกฤตการเงินตลาดสินเชื่อทั้งในระบบและนอกระบบที่เชื่อมโยงกันอาจเกิดการพังเป็นโดมิโนไปทั้งระบบการเงินโลกก็เป็นไปได้