รายใหญ่เดินหน้าลงทุนคริปโตต่อเนื่องแม้ตลาดผันผวน
บริษัทด้านการเงินและเทคโนโลยีรายใหญ่ยังคงเดินหน้าหว่านเงินลงทุนลงในบรรดาสตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญในการสร้างเทคโนโลยีที่สนับสนุนการพัฒนาตลาดสกุลเงินคริปโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันตลาดสกุลเงินคริปโตจะยังคงมีความผันผวนสูงอยู่ก็ตาม
การลงทุนในรูปแบบเวนเจอร์แคปิตอล (Venture Capital) ในบริษัทสตาร์ทอัพในกลุ่มคริปโตและบล็อกเชนมีวงเงินสะสมรวม 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯแล้วในปีนี้ ซึ่งรวมถึงเงินลงทุนจากกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ด้วย ข้อมูลจากพิชบุ๊ค (PitchBook) สำหรับรอยเตอร์ระบุ ดีลการลงทุนทั้ง 13 ดีลส่งผลให้ตัวเลขเงินลงทุนในสตาร์ทอัพคริปโตยังคงทำสถิติใหม่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
การลงทุนในสตาร์ทอัพคริปโตจากหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเครือตลาดหุ้นลอนดอนและไมโครซอฟท์ ได้พุ่งขึ้นกว่า 5 เท่าตัวแตะระดับ 2,400 ล้านดอลลาร์ด้วยปริมาณดีลการลงทุนกว่า 117 ดีลในปี 2018 ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่า บรรดาบริษัทขนาดใหญ่เห็นถึงศักยภาพในอนาคตในอุตสาหกรรมคริปโต แม้ว่าปัจจุบันธุรกิจคริปโตยังคงดิ้นรนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้างก็ตาม
การขาดฐานจากนักลงทุนกระแสหลักส่งผลให้เกิดข้อสงสัยมากมายต่อศักยภาพของตลาดสกุลเงินคริปโตในการพัฒนาตัวเองจากที่เป็นแค่เหรียญเพื่อการเก็งกำไรไปสู่การเป็นสื่อการในการชำระเงินเช่นเดียวกับเงินตราในระบบการเงินปกติ
ราคาบิทคอยน์ร่วงลงกว่า 75% ในปีที่ผ่านมาหลังจากพุ่งทะยานไปใกล้ระดับ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงมหกรรมฟองสบู่ในปี 2017 ปัจจุบันราคาบิทคอยน์ยังคงสุ่มเสี่ยงต่อการเหวี่ยงตัวแรงของราคา เห็นได้จากการพุ่งทะยานของราคาบิทคอยน์กว่า 20% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความงุนงงสงสัยมากมายในหมู่เทรดเดอร์และนักวิเคราะห์วงการ
และแม้ว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะเริ่มมีการใช้งานบ้างในบางธุรกิจเช่น กลุ่มงานด้านเทรดไฟแนนซ์ การใช้งานบล็อกเชนในปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง
ปัจจุบันหลายบริษัทกำลังมองหาหนทางว่า ทำอย่างไรที่จะประยุกต์ใช้บล็อคเชนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในหนทางที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงลึกมากขึ้น ริชาร์ด เฮย์ หัวหน้าฝ่ายฟินเทคประจำสาขาสหราชอาณาจักรของบริษัทกฎหมายลิงค์เลเทอร์สกล่าวกับรอยเตอร์
“ตอนนี้มีพลวัต 2 อย่างที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่” นายเฮย์กล่าว “เราสามารถสร้างบางอย่างขึ้นมาและนำไปใช้งานและประสบผลสำเร็จในการลดต้นทุน และเรายังสามารถมองไปในระยะยาวในการหาหนทางที่จะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในเชิงผลักดันการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงมากขึ้น”
ตัวอย่างล่าสุดที่เกิดขึ้นคือ การหว่านเงินลงทุนร่วมกันกว่า 20 ล้านดอลลาร์ของตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนและธนาคารบังโคซานตานเดอร์จากสเปนในบริษัทสตาร์ทอัพในลอนดอน ซึ่งแพล็ตฟอร์มของสตาร์ทอัพรายนี้สามารถนำไปใช้ในการออกตราสารหนี้บนระบบบล็อคเชนได้
“ท่อพื้นฐาน”
เงินลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพในกลุ่มอุตสาหกรรมคริปโตนั้นกว้างขวางหลากหลายตั้งแต่บริษัทที่ผลิตอุปกรณ์สำหรับทำเหมืองสกุลเงินคริปโตไปจนถึงบริษัทที่ให้บริการระบบการซื้อขายเหรียญคริปโต ข้อมูลจากพิชบุ๊ค ณ วันที่ 8 เมษายน 2019 ระบุ
หนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของการลงทุนก็คือ ความคาดหวังที่สูงขึ้นของกระบวนการที่เรียกว่า “Tokenisation” ของสินทรัพย์ต่างๆตั้งแต่หุ้นไปจนถึงน้ำมัน ที่มีแนวโน้มสามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลได้และทำให้สินทรัพย์เหล่านี้สามารถซื้อขายได้บนระบบบล็อคเชน โดยกระบวนการ Tokenisation นั้นจะช่วยพลิกบทบาททั้งตลาดการเงิน นักกฎหมาย และบรรดาที่ปรึกษาต่างๆให้มาทำงานร่วมกับบริษัทด้านฟินเทคมากขึ้น
“หลายๆคนเริ่มติดใจกับกระบวนการ Tokenisation ซึ่งเป็นความสามารถในการผลิตเหรียญหรือรูปแบบอื่นๆของมูลค่าแล้วจริงๆ ฉะนั้นแล้วตรงนี้คือจุดที่เราจะเห็นความเคลื่อนไหวทุกอย่าง ณ ขณะนี้” แอนตัน รุดเดนเคลา หัวหน้าผู้บริหารร่วมฝ่ายฟินเทคจากเคพีเอ็มจีกล่าวกับรอยเตอร์
“พวกเขากำลังลงทุนในฐานะการประกันความอยู่รอดด้านเทคโนโลยีเหนือสิ่งอื่นใด”
การลงทุนของเวนเจอร์แคปิตอลของบริษัทยักษ์ใหญ่นั้นมักมีขนาดของดีลที่เล็ก ข้อมูลจากพิชบุ๊คระบุ ค่ามัธยฐานของดีลแต่ละดีลปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 6.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่ำกว่าค่ากลางที่ 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯของปีที่แล้วเล็กน้อย
แต่รายอื่นนั้นทำการลงทุนที่ใหญ่กว่านั้น
Bakkt ระบบการซื้อขายสกุลเงินคริปโตที่ตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้วโดยอินเตอร์คอนติเนนตัลเอ็กเชนจ์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่เจ้าของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ได้ระดมเงินลงทุนมูลค่ากว่า 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อเดือนธันวาคม 2018 จากนักลงทุนหลายราย โดยหนึ่งในนั้นมีรายชื่อของ M12 ซึ่งเป็นนักลงทุนเวนเจอร์แคปิตอลที่ไมโครซอฟท์เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
การทะลักเข้ามาของเงินลงทุนจากเวนเจอร์แคปิตอลของบริษัทขนาดใหญ่เกิดขึ้นเนื่องจากนักลงทุนในกลุ่มเวนเจอร์แคปิตอลดั้งเดิมนั้นก็มีการเทเงินลงทุนเข้ามาในอุตสาหกรรมคริปโตด้วย ปี 2018 ทั่วโลกมีดีลการลงทุนในอุตสาหกรรมคริปโตรวมทั้งสิ้น 617 ดีล วงเงินลงทุนกว่า 5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ข้อมูลจากพิชบุ๊คระบุ ทั้งนี้เนื่องจากบรรดานักลงทุนกลุ่มเวนเจอร์แคปิตอลประเมินแล้วว่า เทคโนโลยีในสายคริปโตจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจออนไลน์เช่นไร
“ตอนนี้มีการทดลองขนาดใหญ่ในท่อพื้นฐานสำหรับชั้นของระบบเศรษฐกิจปกติแล้วเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์” เจมี เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเอาท์ไลเออร์ เวนเจอร์ กองทุนเวนเจอร์แคปิตอลที่เป็นผู้นำในการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับบล็อคเชนกว่า 8 โครงการกล่าวกับรอยเตอร์
อย่างไรก็ตาม การทดลองดังกล่าวก็มาพร้อมกับตัวอย่างของความล้มเหลวไม่น้อย
ในเดือนธันวาคม 2018 โครงการสกุลเงินคริปโตชื่อ “เบสิส” กล่าวว่า โครงการต้องทำการปิดตัวลงและคืนเงินแก่นักลงทุนซึ่งรวมถึง จีวีที่เป็นเวนเจอร์แคปิตอลในสังกัดของอัลฟาเบท บริษัทแม่ของกูเกิ้ล และเบน แคปิตอลเวนเจอร์ เนื่องด้วยความกังวลเกี่ยวกับประเด็นด้านกฎระเบียบ
บริษัทด้านทำเหมืองและซื้อขายสกุลเงินคริปโตคือกลุ่ม 4 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดตามมูลค่ากิจการที่หนุนโดยนักลงทุนเวนเจอร์แคปิตอล ข้อมูลจากพิชบุ๊คระบุ
ขณะที่บางรายต้องดิ้นรนท่ามกลางภาวะตกต่ำของราคาบิทคอยน์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บริษัทบิทเมนเทคโนโลยีส์ซึ่งมีมูลค่ากิจการกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์ต้องพับแผนการขายหุ้นไอพีโอในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อเดือนมีนาคม 2019
กระนั้นก็ตามก็มีบางบริษัทที่สามารถไปได้ดีกว่า โดยบริษัทคอยน์เบสซึ่งมีมูลค่ากิจการ 8,000 ล้านดอลลาร์ สามารถทำรายได้นอกเขตสหรัฐฯเติบโตขึ้นกว่า 20% ในปีที่ผ่านมาโดยมีรายได้ 153 ล้านยูโร (173 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ข้อมูลการจดทะเบียนธุรกิจที่ยื่นที่อังกฤษของคอยน์เบสเมื่อสัปดาห์ที่แล้วระบุ
บริษัทลูกของคอยน์เบสที่อังกฤษซึ่งมีหน้าที่รับรู้รายได้นอกเขตสหรัฐฯ มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของรายได้รวมของบริษัท นายซีชาน เฟรอส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคอยน์เบสสหราชอาณาจักรระบุ
ข้อมูลดังกล่าวตามการคำนวณของรอยเตอร์บ่งชี้ว่า รายได้รวมจากทั่วโลกของคอยน์เบสอยู่ที่ราว 520 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีที่แล้ว ตัวเลขนี้เป็นข้อมูลไม่กี่ชิ้นที่พอจะฉายให้เห็นภาพของสถานะทางการเงินของคอยน์เบส
ด้านคอยน์เบสปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว
SOURCE: Reuters